ซื้อบ้านใหม่หรือ บ้านมือสอง ดี บ้านใหม่ VS บ้านมือสอง การลงทุนในบ้านและที่ดิน นอกจากจะต้องตัดสินใจเลือกประเภทบ้านที่ใช้ในการลงทุนแล้ว ยังต้องตัดสินใจอีกว่า จะเลือกลงทุนในบ้านใหมหรือ บ้านมือสอง ดี ซึ่งทางเหลือในแต่ละลักษณะมีจุดเด่นและจุดด้อยในการลงทุนแตกต่างกัน ดังนั้นจึงต้องเลือกให้สอดคล้องกับแผนการลงุทนของแต่ละบุคคล การซื้อ บ้านมือสอง จัดเป็นทางเลือกที่น่าสนใจทางหนึ่งในการลงทุน ซึ่งการซื้อ บ้านมือสอง อาจมีเหตุผลดังนี้ - บ้านมือสอง ไม่ต้องการปลูกสร้างเอง เพราะต้องการที่อยู่อาศัยเร่งด่วน ไม่มีเวลาที่จะรอการปลูกสร้างได้ เกรงจะประสบปัญหาต่างๆ ในขบวนการปลูกสร้างและปลูกบ้านใหม่อาจจะมีราคาแพงกว่าการซื้อ บ้านมือสอง - ไม่ต้องการซื้อบ้านจัดสรร เนื่องจากกำลังการซื้อไม่เพียงพอ หรือไม่ชอบระบบการซื้อแบบผ่อนส่ง - อาจจะชอบทำเลที่ตั้งของ บ้านมือสอง ที่จะซื้อ - ชอบลักษณะรูปแบบของ บ้านมือสอง ในกรณีนี้ บ้านมือสอง นั้นอาจจะเป็นเรือนไทยที่ถูกต้องตามลักษณะโบราณจริง ๆ ซึ่งอาจเป็นเรือนไทย หลังคาสูง จั่วแหลมหรือเรือนไทยลักษณะรัชกาลที่ 5 หรือรัชกาลที่ 6 ซึ่งก็เป็นรูปแบบเฉพาะ เช่น หลังคาปั้นหยา ช่องลมฉลุ เป็นต้น สำหรับผู้ที่จะซื้อ บ้านมือสอง ในลักษณะที่กล่าวนี้ มักเป็นผู้อนุรักษ์นิยมชื่นชมของเก่าที่หายาก อย่างไรก็ดี การที่จะพิจารณาเปรียบเทียบระหว่างบ้านใหม่และ บ้านมือสอง ว่าควรซื้อแบบไหนดีนั้น ไม่อาจตอบได้ชัดว่าอย่างใดจะดีกว่ากัน เพราะแต่ละกรณี มีข้อได้เปรียบและข้อเสียเปรียบที่แตกต่างกัน สำหรับปัจจัยที่ผู้ซื้อน่าจะนำมาใช้พิจารณาเปรียบเทียบคุณลักษณะเด่นระหว่างบ้านใหม่และ บ้านมือสอง มีดังต่อไปนี้ คุณลักษณะเด่นของการซื้อบ้านใหม่ 1.บ้านใหม่จะเพียบพร้อมไปด้วยสิ่งใหม่ทั้งหมด ซึ่งอยู่ในสภาพดี ไม่ต้องเสียค่าซ่อมแซมอีกเป็นระยะเวลานาน ดังนั้นบ้านใหม่จึงมักสร้างความภาคภูมิใจให้แก่ผู้อยู่อาศัยได้มากกว่า 2. บ้านใหม่มักจะมีการออกแบบและใช้วัสดุก่อสร้าง ตลอดจนอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ทันสมัยกว่า ซึ่งทำให้มีโอกาสใช้ประโยชน์ได้คุ้มค่า และระยะเวลาการเสื่อมสภาพที่ยาวนานกว่า 3. บ้านใหม่จะให้โอกาสแก่ผู้เริ่มเข้าอยู่อาศัยเป็นครั้งแรก ในการที่จะจัดการตกแต่งบ้านได้ง่าย และทำให้สะดวกกว่า คุณลักษณะเด่นของการซื้อ บ้านมือสอง 1. บ้านมือสอง มักจะมีการก่อสร้างที่ประณีต แข็งแรงทนทานดีกว่าบ้านใหม่ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างที่ทำด้วยไม้หรือปูนก็ตาม 2. บ้านมือสอง มักจะมีทำเลที่ตั้งดีกว่าบ้านใหม่ ๆ เนื่องจาก บ้านมือสอง มีการก่อสร้างมาตั้งแต่ที่ดินราคาไม่แพงมากนัก สภาพแวดล้อมของ บ้านมือสอง จึงมีสิ่งอำนวยความสะดวกที่พร้อมมูลกว่า 3. บ้านมือสอง มักจะมีอุปปกรณ์บางอย่างที่ติดอยู่กับตัวบ้านให้แล้ว ซึ่งเจ้าของเดิมได้ทำไว้ จึงไม่ต้องไปจัดหาใหม่ และถ้ามีการคิดราคาสิ่งของเหล่านั้นก็จะได้ราคาถูกกว่าราคาตลาดมาก 4. บ้านในโครงการสร้างใหม่ มักจะมีสาธารณะประโภคสาธารณูปการยังไม่พร้อมสมบูรณ์ บางครั้งต้องรอให้มีการก่อสร้างต่อในเฟสสอง เฟสสาม ทำสภาพแวดล้อมในชุมชนไม่ดีนัก ตรงข้ามกับ บ้านมือสอง ชุมชนจัดสรรที่สร้างเสร็จเรียบร้อนมานานพอสมควรแล้วเช่น 3-4 ปี ชุมชนเหล่านี้จะค่อนข้างมีสภาพแวดล้อมที่ดีและสมบูรณ์ 5. สามารถรู้ได้อย่างชัดเจนว่าสภาพแวดล้อมทางสังคม เพื่อนบ้านเรือนเคียงและผู้อยู่อาศัยในชุมชนว่าเขาเป็นใคร เป็นคนกลุ่มไหน สำหรับการซื้อบ้านใหม่ในโครงการจัดสรรผู้ซื้อมักจะไม่ทราบว่าใครเป็นผู้ซื้อบ้านที่ติดกับตน แต่บ้านมือสอง ผู้ซื้อสามารถสอบถามทำความรู้จักกับผู้อยู่อาศัยใกล้เคียงได้ เพื่อหยั่งรู้ถึงอาชีพการงาน รสนิยม อัธยาศัยไมตรี ว่าเป็นประการใด สามารถจะพึ่งพาอาศัย เกื้อกูลกันได้หรือไม่ หรือเมื่ออยู่ใกล้กันแล้วจะมีโอกาสเกิดปัญหากระทบกระทั่งกันได้หรือไม่ ในบางครั้งผู้ซื้อพบว่ามีผู้ขาย บ้านมือสอง ที่อยู่ใกล้กับญาติพี่น้อง หรือเพื่อนสนิทมิตรสหายที่อยู่อาศัยมาก่อน ก็จะเป็นเงื่อนไขบวกประการหนึ่งในการตัดสินใจซื้อบ้านมือสอง ข้อแนะนำในการซื้อ บ้านมือสอง ข้อสำคัญในการพิจารณาเลือกซื้อ บ้านมือสอง นอกจากจะเปรียบเทียบคุณลักษณะเด่นดังกล่าวมาแล้ว ก็ควรจะพิจารณาตรวจสอบรายละเอียดด้านอื่น ๆ อีก ได้แก่ 1. ดูสภาพของ บ้านมือสอง อายุบ้าน ดูว่าปลูกมานานกี่ปีแล้ว อุปกรณ์เครื่องใช้ต่าง ๆ เช่น เครื่องสุขภัณฑ์ หลอดไฟตามดวงโคมต่าง ๆ ชำรุดเสียหายบ้างหรือเปล่า สายไฟฟ้าเสื่อมสภาพแล้วหรือยัง น้ำปะปาขึ้นสนิมหรือแตกรั่วบ้างหรือไม่ หากลักษณะโครงสร้างเก่าแก่ไม่แข็งแรงและจะต้องซ่อมแซมอีกมากแล้ว จะทำเกิดปัญหาหนักในเรื่องค่าใช้จ่าย ด้วยเหตุนี้ลักษณะสภาพ บ้านมือสอง จึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่จะต้องให้ความสำคัญในการพิจารณาตัดสินใจซื้อตามปกติแล้ว บ้านมือสอง จะมีการเสื่อมราคาตามระยะเวลายิ่งถ้าสภาพแวดล้อมเป็นทำเลที่มีแหล่าชุมชนแออัดเกิดขึ้น ราคาของ บ้านมือสอง จะตกลงอย่างรวดเร็ว ฉะนั้นหากจะลงทุนเลือกซื้อ บ้านมือสอง ควรหาแหล่งที่คิดว่าจะยังคงเจริญต่อไปในภายหน้า 2. ควรพิจารณาสภาพแวดล้อม บ้านมือสอง นั้น ๆ ว่าอยู่ในสภาพแวดล้อมอย่างไร มีสิ่งอำนวยความสะดวกต่อชีวิตประจำวันหรือไม่ เช่น ใกล้โรงเรียน ศูนย์การค้า ตลาด โรงพยาบาล ฯลฯ เพื่อการใช้ชีวิตที่สะดวกสบายในอนาคต 3. กรณีที่จะซื้อบ้านที่ดินพร้อมบ้านจัดสรร ทาวน์เฮาส์ หรืออาคารพาณิชย์ ควรตรวจสอบเพิ่มเติมด้วยว่า ผู้ประกอบธุรกิจหรือเจ้าของโครงการ ได้รับใบอนุญาตให้ก่อสร้างอาคารแล้วหรือไม่ โดยตรวจสอบได้จากกรมโยธาการ หรือสำนักงานเขตกรุงเทพมหานคร หรือสำนักงานที่ดินจังหวัด แล้วแต่กรณี 4. พิจารณาชุมชน โดยพิจารณาเพื่อนบ้านที่อยู่บริเวณไกล้เคียงว่าเป็นอย่างไร กรณีที่บ้านอยู่ในโครงการจัดสรร ควรสอบถามเรื่องบริการชุมชนจากเพื่อนบ้าน ว่างานสาธารณูปโภคตลอดจนค่าใช้จ่ายส่วนกลางเป็นอย่างไร การดูแลรักษาสภาพโครงการสม่ำเสมอ และเหมาะสมหรือไม่ 5. ราคาของ บ้านมือสอง ที่เสนอขาย รวมและไม่รวมอะไรบ้าง เช่นค่าธรรมเนียมโอนบ้าน ค่าภาษีรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ (ปกติจะเป็นค่าใช้จ่ายของผู้ขาย) ภาษีธุรกิจเฉพาะ และค่าอากรแสตมป์ 6. กรณีที่คุณต้องการกู้ซื้อ บ้านมือสอง ต้องเตรียมเรื่องขออนุมัติขอสินเชื่อเพื่อซื้อบ้านด้วย 7. ตรวจซ้ำกับการเวนคืน แม้ว่าจะอุ่นใจได้ว่ากว่าจะกว่าจะสร้างจนบ้านเสร็จให้เห็นมีการตรวจสอบดังกล่าวแล้ว แต่ไม่ควรประมาท โดยเฉพาะอย่างยิ่งบ้านที่อยู่ในทำเลล่อแหลม เช่น ใกล้สามแยก เป็นต้น บ่อยครั้งที่เจ้าของบ้านเดิมระแคะระคายเรื่องเกี่ยวกับการเวนคืน เลยพยายามย่องถ่ายทรัพย์สินของตนเอง ก่อนที่จะมีกฎหมายห้ามการขายและโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน 8. ตรวจสอบว่า ผู้ที่จะขาย บ้านมือสอง นั้นมีกรรมสิทธิ์ในที่อยู่อาศัยนั้นจริงหรือไม่ หมายถึงการมีชื่อเป็นเจ้าของ หากเป็นการมอบหมายอำนาจต้องดูให้ละเอียด เช่น กรณีการซื้อจากบริษัทนายหน้าขาย บ้านมือสอง 9. ตรวจข้อมูลเกี่ยวกับการจำนองหรือการเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันเงินกู้จากธนาคารหรือสถาบันการเงินอื่น ๆ โดยทั่วไปแล้วการซื้อ บ้านมือสอง ที่ติดจำนองจะต้องผ่านกระบวนการไถ่ถอนการจำนองมาก่อน และค่อยโอนกรรมสิทธิ์กัน ขั้นตอนเหล่านี้จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการคุยรายละเอียดกันตั้งแต่เริ่มแรก โดยทั่วไปสถาบันการเงินจะมีเจ้าหน้าที่ดำเนินการทางด้านนี้ การดูแลเรื่องนี้ตั้งแต่ขั้นตอนการตกลงซื้อขายจะช่วยให้ไม่ต้องเผชิญปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับการโอนสิทธิและอื่น ๆ 10. สำหรับอาคารชุดจำเป็นต้องขอดูเอกสารการจดทะเบียนอาคารชุดนิติบุคคลอาคารชุดและค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ตลอดจนรายการทรัพย์สินส่วนกลางและการบริการต่าง ๆ รวมทั้งค่าใช้จ่ายส่วนกลางอย่างละเอียด เพราะจะได้เป็นการเตรียมตัวแต่เนิ่น ๆ ในการที่จะต้องเข้ามาเป็นส่วนร่วมในการบริหารอาคารชุดในอนาคต 11. การตรวจสอบสัญญาจะซื้อขายยังมีความจำเป็นแม้ว่าสัญญามาตฐานจะมีการใช้กันมากขึ้นแล้วก็ตาม นอกจากนี้ ในเรื่องของค่าใช้จ่ายในการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ ภาษี และอื่น ๆ จะต้องมีการตกลงไว้ล่วงหน้าเป็นลายลักษณ์อักษร และควรจะเก็บสัญญาจะซื้อจะขายเอาไว้ด้วย แม้ว่าจะมีการโอนกรรมสิทธิ์กันแล้วก็ตามที เพื่อป้องกันปัญหาภายหลัง 12. ตรวจสอบและเก็บเอกสารต่าง ๆ ที่เป็นส่วนประกอบของสัญญาเอาไว้ ไม่ว่าจะซื้อจากบริษัทเจ้าของโครงการโดยตรงหรือซื้อต่อจากบุคคลอื่นก็ตาม ทั้งนี้เพราะเอกสารเหล่านี้มีผลทางกฎหมายในการบังคับให้เจ้าของจะต้องปฏิบัติตามข้อตกลงหรืสัญญาที่เคยระบุไว้ อนุชา กุลวิสุทธิ์ : ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ แบบมืออาชีพ |
0 comments:
Post a Comment